วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 5


 


คุณครู อาจรย์ที่ข้าพเจ้าชื่นชอบ


          ประวัติทั่วไป
นาวิน ต้าร์
ชื่อจริง     นาวิน เยาวพลกุล (ต้าร์)Navin Yaovapolkul (Tar)
วันเกิด     8 กุมภาพันธ์ 2522 (8.00น.)
สูง          182  ซม.
หนัก        65 kg.
ราศี กุมภ์
กีฬาที่ชอบ   บาสเกตบอล, สนุกเกอร์
เครื่องดนตรีที่เล่นได้ กีตาร์
อนาคต  เรียนให้จบสูงสุด เพื่อเป็นนักธุรกิจที่มีคุณภาพในวันข้างหน้า
แนวเพลง  Pop
สังกัด  เมเกอร์เฮด

 ดร.นาวิน เยาวพลกุล เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
          ดร.นาวิน เยาวพลกุล หรือ นาวิน ต้าร์ ในอดีตเคยเป็นนักแสดง ดารา นักร้อง นาวิน เป็นบุตรชายและบุตรคนที่ 2 ของ นายแพทย์วิโรจน์ เยาวพลกุล และ คุณดาราน้อย เยาวพลกุล ที่มีอาชีพเป็นแม่บ้านมีพี่น้อง 4 คน คือ พี่โน่ นายแพทย์ดาวิน เยาวพลกุล,น้องแอ๊นท์ รินรดา เยาวพลกุล และ น้องวิน ธาวิน เยาวพลกุล
          เริ่มต้นการศึกษาจากโรงเรียนอนุบาลผานิตา และศึกษาต่อที่โรงเรียนชนานันท์ และ โรงเรียนสมถวิล ในช่วงที่เรียนระดับมัธยมศึกษาที่สาธิตปทุมวันและสาธิตประสานมิตรนั้น เขาเป็นเด็กที่เกเรจนมีปัญหากับโรงเรียน จนถูกไล่ออกจากโรงเรียนถึงสองครั้งจากโรงเรียนทั้งสอง แต่ด้วยการเอาชนะใจตน จึงทำให้เขาเอ็นทรานซ์ได้และจบการศึกษาระดับปริญญาตรี จาก คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้วยเกียรตินิยมอันดับ1 เหรียญทอง จากนั้นได้รับทุนอานันทมหิดลศึกษาต่อที่ สหรัฐอเมริกาโดยปริญญาโทศึกษาที่ มหาวิทยาลัยออริกอนสเตต และระดับปริญญาเอก ที่ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เดวิส แต่ได้กลับมาที่ประเทศไทยก่อน นาวิน ต้าร์ เป็นอาจารย์จากโควตาของคณะเศรษฐศาสตร์ที่ให้แก่นิสิตที่สำเร็จการศึกษาด้วยคะแนนเป็นอันดับที่ 1 ของรุ่น และได้ร่วมสอนวิชาเศรษฐศาสตร์จุลภาคและคณิตศาสตร์สำหรับนักเศรษฐศาสตร์ (Quantitative Analysis for Economist) ทั้งในภาคปกติและภาคอินเตอร์ด้วย

1.ประวัติการศึกษาย่อ ๆ
อนุบาล โรงเรียนอนุบาลผานิตา
ประถมศึกษา โรงเรียนชนานันท์
ประถมศึกษา โรงเรียนสมถวิล
มัธยมศึกษา โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน
มัธยมศึกษา โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
ปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปริญญาโท มหาวิทยาลัยออริกอนสเตต
ปริญญาเอก มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เดวิส
2.ประวัติการทำงาน ย่อ ๆ
เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เป็นดารา นักร้อง นักแสดง
3.ผลงานของครูที่นักเรียนชอบ
          สำหรับผลงานของครูที่ข้าพเจ้าชื่นชอบ คือการที่ครูนาวินเป็นครูที่เก่งในทุกๆเรื่องไม่ว่าจะเป็นการแสดงละครที่สามารถแสดงได้ถึงบทบาท เป็นนักร้องที่เสียงใส หน้าตาดี เป็นนักดนตรีที่เล่นกีต้าร์ไพเราะ และสำคัญที่สุดต้องยกให้คือความฉลาดที่เรียนที่ไหนๆก็ได้เกียรตินิยมอันดับ1 ซึ่งมีน้อยมากที่เก่งในทุกๆเรื่อง แต่ถึงจะรวมๆความเก่งในหลายๆด้าน นาวินก็เลือกเป็นพ่อพิมพ์ของชาติ เพราะเค้าบอกว่าอยากถ่ายทอดความรู้ที่เรียนมาให้ผู้อื่นได้รู้เช่นเดียวกันกับสิ่งที่เค้ารู้ ถือว่าเป็นครูที่มีความสามารถมากยังได้รับรางวัล เยาวชนดีเด่นแห่งชาติ สาขาการศึกษาและวิชาการ ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ (สยช.) และในเรื่องของวิชาการคือ Post–Uruguay Round price linkages between developed and developing countries: the case of rice and wheat markets.
4.นักเรียนประยุกต์สิ่งที่ดีของครูมาใช้ในการพัฒนาตนเอง
          ข้าพเจ้าทราบประวัติความเป็นมา และติดตามบุคคลท่านนี้มาตลอดและเห็นความสำเร็จที่เกิดขึ้น เป็นบุคคลที่กล่าวได้ว่ามีสติปัญญา 1 ใน 100คน สิ่งที่ข้าพเจ้าจะนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาตนเอง คือในเรื่องของการแบ่งเวลา เพราะครูนาวินเป็นผู้ที่แบ่งเวลาให้เกิดประโยชน์และเกิดประสิทธิภาพมาก ประกอบกับความตั้งใจ ที่ถึงแม้ว่าจะทำงานหลายๆอย่างด้วยกัน งานทุกชิ้นก็ออกมาประสบผลสำเร็จและดีเยี่ยม ทั้งในเรื่องของความอดทน พยายาม ที่เมื่อก่อนครูนาวินสร้างแต่ปัญหา ทั้งรบรา ชกต่อย มีปัญหามากมาย แต่สามารถเปลี่ยนตัวเองได้ เปลี่ยนจากคำถูกให้กลายเป็นแรงบันดาลใจ และพัฒนาตัวเองจากหลังเท้าเป็นหน้ามือจนกลายเป็นบุคคนที่มีความสามารถในหลายๆด้าน และบทสุดท้ายก็เป็นพ่อพิมพ์ของชาติเป็นที่ยอมรับของใครหลายๆคนรวมถึงข้าพเจ้าด้วย


วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 4

สรุปเนื้อหาการทำงานเป็นทีม

          การทำงานเป็นทีม หมายถึง การร่วมกันทำงานของสมาชิกที่มากกว่า 1 คน โดยที่สมาชิกทุกคนนั้นจะต้องมีเป้าหมายเดียวกันจะทำอะไรแล้วทุกคนต้องยอมรับร่วมกัน มีการวางแผนการทำงานร่วมกัน
การทำงานเป็นทีมมีความสำคัญในทุกองค์กร
                การทำงานเป็นทีมนั้นถือว่าประโยชน์สูงสุดขององค์กร  มีโอกาสอาจประสบผลสำเร็จมากกว่าการทำงานคนเดียว  แต่ในการสร้างทีมงานขึ้นมาเราอาจมีส่วนประกอบอยู่หลายๆอย่างเช่น  ต้องใช้ เวลา ในการพัฒนาบุคคล  และพัฒนาทีมงานพอสมควร จึงจะเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพอันสามารถก่อประโยชน์สูงสุด
                การที่เราต้องทำงานเป็นทีมนั่นก็เพราะว่าเราทำงานเก่งคนเดียว แต่ก็เก่งได้ไม่นาน เอาความเก่งของแต่ละคนมารวมกันและหลายหัวดีกว่าหัวเดียว
                ขั้นตอนการทำงานเป็นทีม   
วิเคราะห์งาน กำหนดเป้าหมายร่วมกัน วางแผนการทำงาน กำหนดกิจกรรม แบ่งงานให้สมาชิกของทีม  ปฏิบัติจริงตามแผน ติดตามผลและนิเทศงาน ประเมินขั้นสุดท้าย
                อุปสรรคในการทำงานเป็นทีม
    ขาดการตกลงกันตั้งแต่เริ่ม มีการปกปิดข้อมูลผิดพลาด  ไม่ได้ใช้วิธีการประชุมหารือ ขาดการวางแผนไม่มีการแบ่งความรับผิดชอบ ขาดการประเมินผล
                ทีมงานที่มีประสิทธิภาพ
                เข้าใจวัตถุประสงค์และเป้าหมายชัดเจน  เปิดเผยจริงใจและร่วมกันแก้ปัญหา  สนับสนุนไว้วางใจ ยอมรับ และรับฟังกัน  ร่วมมือกัน ใช้ความขัดแย้งในเชิงสร้างสรรค์  ทบทวนการปฏิบัติงานและตื่นตัวตลอดเวลา  มีการพัฒนาตนเอง  รู้จักตนเองและรู้จักผู้อื่น และสามารถเข้ากันได้กับเพื่อนร่วมห้อง
        การที่ทีมงานจะประสบผลสำเร็จนั้นจะต้องมีงานเป็นขั้นตอนเช่น
·       เป็นหนึ่งเดียวกัน
·       ประชุมสม่ำเสมอ
·       สื่อสารทั่วถึง
·       นำเสนอเป็นระยะ
·       พบปัญหาทบทวน
·       ประเมินตรวจสอบเป็นระยะ
·       ตรวจสอบความรู้สึก


แนวคิดหลักการทำงานเป็นทีม เป็นอย่างไร
ตอบ       1.ยอมรับความแตกต่างของบุคคล เพราะมนุษย์แต่ละคมีความแตกต่างในด้านร่างกายและจิตใจ รวมทั้งอารมณ์ความรู้สึกไม่เหมือนกัน
                       2.แรงจูงใจของมนุษย์ ความต้องการในเรื่องต่างๆ เช่น
                 - ความต้องการด้านร่างกาย                           
                 - ความต้องการด้านความมั่นคง
                 - ความต้องการทางสังคม                            
                 - ความต้องการที่จะมีชื่อเสียง
                  - ความต้องการความสมหวังในชีวิต
                   3.ธรรมชาติมนุษย์   ดังนี้
1.     มนุษย์พฤติกรรม  เช่น การแสดงออกทางวาจา   สีหน้า   ท่าทาง เป็นต้น
2.   มนุษย์มีความรู้สึกนึกคิดอันเป็นเหตุที่มนุษย์มีความรัก เกลียด กลัว โกรธ ชิงชัง ชอบ เป็นต้น
3.  มนุษย์มีปัญญา  เช่น ฉลาด  โง่  ในตัวเอง เป็นต้น

  2. นักศึกษาจะมีวิธีการทำงานเป็นทีมให้มีประสิทธิภาพทำอย่างไร  ยกตัวอย่างประกอบ
 ตอบ  การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ
ต้องเข้าใจวัตถุประสงค์และเป้าหมายว่าเป้าหมายนั้นเป็นอย่างไร มีจุดมุ่งหมายอะไร มีการเปิดเผยมอบความจริงใจซึ่งกันและกันร่วมกันแก้ปัญหา ยอมรับ รับฟัง สนับสนุนและที่สำคัญต้องไว้ใจต่อกัน ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก็ต้องเป็นไปในทางสร้างสรรค์ มีการพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอ และที่ขาดไม่ได้คือต้องรู้จักตนเองและผู้อื่นอันหมายถึงเพื่อนร่วมห้อง จึงจะทำให้การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ
   
ตัวอย่างเช่น    
                ชมพู่ทำงานหนึ่งชิ้นซึ่งเป็นงานกลุ่ม มีเพื่อนในกลุ่มอีก 4 คน ชมพู่ต้องนัดประชุมเพื่อนๆในกลุ่มและต้องร่วมกันคิดเป้าหมายของงานที่ชัดเจน เพื่อนในกลุ่มต้องช่วยกันแสดงความคิดเห็นของตัวเอง เมื่อเพื่อนในกลุ่มไม่เข้าใจก็มีการคัดค้านขึ้นซึ่งจะต้องเป็นความคิดที่ส่งผลดีและต้องสร้างสรรค์ จากนั้นกมีการแบ่งงานกัน แบ่งเวลาและลงมือปฏิบัติ มีการนัดดูงานกัน ดูความคืบหน้าของงาน ถ้ารายงานดีก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ารายงานไม่ดีก็ต้องช่วยกันแก้ไข จนงานชิ้นนั้นประสบผลสำเร็จ



วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 3


1.การจัดการเรียนการสอน  จัดชั้นเรียนเตรียมการสอนในยุคศตรรษวรรษที่ 21 กับยุคก่อนศตวรรษที่21เปรียบเทียบกันแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ
 การจัดชั้นเรียนเตรียมการสอนในยุคศตวรรษที่ 21 เป็นการเรียนรู้ที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่เพราะปัจจุบันมีสื่อเทคโนโลยีและสิ่งต่างเข้ามาจึงทำให้สะดวกในการสอนมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนและยังมีอุปกรณ์การเรียนที่มีการพัฒนาขึ้นอย่างมากมายซึ่งทุกคนสามารถศึกษาได้ด้วยตนเองไม่จำเป็นต้องให้ครูชี้แนะเราสามารถศึกษาและตัดสินใจได้ด้วยตัวเราเองทั้งยังเป็นการศึกษาแบบไม่มีที่สิ้นสุด เปรียบเทียบกับยุคก่อนศตวรรษที่ 21 แต่ก่อนนั้น เป็นยุคที่ส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นแต่ในโรงเรียน ต้องให้ครูหรือผู้เชี่ยวชาญเป็นคนสอน  มนุษย์ไม่รู้จักการเรียนรูด้วยตนเองกลับมองว่าผู้ที่จดจำได้มากเป็นผู้ที่สามารถเรียนได้ดีมากกว่าการเข้าใจในเนื้อหา
2.ครูผู้สอนจะต้องเตรียมตัวอย่างไรในอนาคตที่ท่านจะเป็นครูยุคต่อไปข้างหน้าให้สรุปแนวคิดของนักศึกษา
ตอบ
  แนวคิดของข้าพเจ้าสำหรับการเตรียมตัวในอนาคตเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเพราะการศึกษาในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่น ในเรื่องของเทคโนโลยี เป็นต้น ดังนั้นข้าพเจ้าจึงสรุปเป็นแนวคิดดังต่อไปนี้เตรียมพร้อมกับการเป็นครู ต้องมีความรู้ที่สามาถ่ายทอดให้เด็กได้อย่างดีทำให้เด็กเข้าใจได้ ในการสอนต้องมีการวางแผนทุกครั้งสามารถใช้เทคโนโลยีกับการศึกษาได้เป็นอย่างดี และต้องมีมีความยุติธรรม  มีระเบียบวินัย  มีจรรยาบรรณในวิชาชีพครู




กิจกรรมที่ 2



ทฤษฎีการบริหารการศึกษา

            มาสโลว์ เป็นผู้วางรากฐานจิตวิทยามนุษย์นิยม เขาได้พัฒนาทฤษฎีแรงจูงใจ เขามีความเชื่อว่า มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมีความต้องการอันใหม่ที่สูงขึ้น แรงจูงใจของคนเรามาจากความต้องการ พฤติกรรมของคนเรามุ่งไปสู่การตอบสนองความพอใจ มาสโลว์ แบ่งความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ออกเป็น 5 ระดับด้วยกัน ได้แก่
1.ความต้องการทางกายภาพ หมายถึงความต้องการพื้นฐานของร่างกาย
 2.ความต้องการความปลอดภัย หมายถึง ความต้องการมั่นคงปลอดภัยทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
3. ความต้องการทางสังคม หมายถึง ความต้องการที่จะเป็นที่รักของ
 4.ความต้องการยกย่องชื่อเสียงหมายถึง ความปรารถนาที่จะมองตนเองมีคุณค่าสูง    
5.ความต้องการที่จะรู้จักตนเองตามสภาพที่แท้จริงและความสำเร็จของชีวิต   
              แมคเกรเกอร์  เป็นทฤษฎีที่เรียกได้ว่าเป็นทฤษฎีการมองต่างมุม ในความเป็นจริงของคนทุกคนไม่มีใครจะร้ายอย่างบริสุทธิ์ คือไม่มีข้อดีเลย คงไม่มี และในทางกลับกัน ก็คงไม่มีใครที่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีข้อด่างพร้อยเลย ก็คงไม่มีอีกเช่นกัน แต่ไม่ใช่ว่าพอเราจะได้ผลประโยชน์จากใครก็มองเขาดีไปหมด ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงเขาจะไม่ดีไปเสียทุกอย่างแต่พอได้ผลประโยชน์ไปแล้วหรือเป็นคนที่ไม่มีผลประโยชน์สำหรับเราแล้ว ทุกอย่างก็ดูจะไม่ดีไปเสียทั้งหมด ถึงแม้ว่าที่จริงแล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายนัก  เป็นผู้เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงมุมมองตามทฤษฎี X ไปมุมมองตามทฤษฎี Y ทฤษฎีX มองว่าพนักงานเกียจคร้าน แต่มุมมองYมองว่าพนักงานมีความรับผิดชอบ
          วิลเลี่ยม โอชิ ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีลูกผสมระหว่างญี่ปุ่นกับอเมริกัน วิลเลียมโอชิ ซึ่งเป็นชาวซามูไร เป็นคนคิดขึ้นมา ได้ศึกษาการจัดการของโลก 2 ค่ายคือค่ายอเมริกันและค่ายญี่ปุ่นศึกษาจุดเด่นของการบริหารว่าก่อนจะเข้าใจทฤษฎี Zต้องเข้าใจทฤษฎีAและJก่อน
 ทฤษฎี A คือ การบริหารจัดการ ต้องอาศัยการจัดการพื้นฐานของบุคคล ของผู้บริหารที่เกิดขึ้นในอดีต     ทฤษฎีJ  คือ การบริหารจัดการแบบญี่ปุ่นคือมีการเลื่อนตำแหน่งมีความผูกกันวิลเลี่ยม โอชิ  เป็นเจ้าของทฤษฎี Z  นำทฤษฎี 2 ทฤษฎีมาวิเคราะห์ รวมเรียกว่าทฤษฎี 2 เป็นแนวคิดของการบริหารจัดการเชิงจินตนาการ
          Henri Fayol  บิดาทฤษฎีการบริหารจัดการสมัยใหม่  เป็นทฤษฎีการบริหารจัดการสมัยใหม่ สนใจที่จะศึกษาองค์การโดยรวมและมุ่งเน้นที่กิจกรรมการจัดการ ประกอบด้วยกิจกรรม5อย่าง
1.การวางแผน
2.การจัดองค์การ
3.การบังคับบัญชา
4.การประสานงาน
5.การควบคุม
อังริ ฟาโยล มีหลักการจัดการ 14 ประการ
          1.การจัดแบ่งงานการจัดแบ่งหน้าที่ตามความสามารถ หรือความเชี่ยวชาญพิเศษของแต่ละคน เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
          2.การมีอำนาจหน้าที่ผู้จัดการต้องสามารถออกคำสั่งได้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เมื่อนั้นความรับผิดชอบก็จะต้องติดตามไปด้วย
          3. ความมีวินัย ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือพนักงานต้องเชื่อฟัง และเคารพกฏเกณฑ์ขององค์การ
          4. เอกภาพของสายบังคับบัญชาพนักงานหรือลูกจ้างทุกคนจะได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียว สายบังคับบัญชาจะมีลักษณะเป็นทอดๆไป แต่ละคนจะรู้ว่าใครคือเจ้านายของตน
         5. เอกภาพในทิศทาง แต่ละคนในกลุ่มกิจกรรมขององค์การจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน รับแผนเดียว และจากหัวหน้าเดียว
          6. ผลประโยชน์ของหมู่คณะจะต้องเหนือผลประโยชน์ส่วน
        7.มีระบบค่าตอบแทนที่ยุติธรรม   องค์การก็จะต้องทำหน้าที่จัดระบบค่าตอบแทนให้เหมาะสมแก่ความสามารถและเป็นไปอย่างยุติธรรม
          8. ระบบการรวมศูนย์
          9. สายบังคับบัญชา หมายถึงสายบังคับบัญชาจากระดับสูงลงมาสู่ระดับ
         10.ความเป็นระบบระเบียบ หมายความถึง คนก็ดี หรือวัสุดอุปกรณ์ทั้งหลายก็ดี จะอยู่ในที่อันเหมาะสมในเวลาอันเหมาะสม
   11.ความเท่าเทียมกัน ผู้เป็นหัวหน้าจะต้องมีการตอบสนองต่อผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างมีเมตตา และยุติธรรม
          12. ความมั่นคง และสามัญฐานะของบุคลากร
          13. การริเริ่มสร้างสรรค์ ผู้ใต้บังคับบัญชาจะสามารถมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ที่จะทำงานออกมาได้ในระดับที่สูง
          14. วิญญาณแห่งหมู่คณะการสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงาน มีความราบรื่น และความเป็นปึกแผ่นใน
            แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) เป็นนักสังคมวิทยา ชาวเยอรมัน ได้นำเสนอแนวคิดการจัดองค์การ ที่เรียกว่า bureaucracy เขาเห็นว่าเป็นลักษณะองค์การที่เป็นอุดมคติที่องค์การทั้งหลายควรจะเป็น หากได้รับการพัฒนาในระดับที่เหมาะสมได้สรุปแนวคิด6ประการดังนี้คือ
 1.องค์การต้องมีการจัดแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ
2.องค์การนั้นต้องมีสายบังคับบัญชาตามลำดับชั้น
3.ระบบการคัดเลือกคนนั้นต้องกระทำอย่างเป็นทางการ
4.องค์การต้องมีระเบียบและกฏเกณฑ์
5.ความไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
6.การแยกระบบการทำงานออกเป็นสายอาชีพ
        Luther Gulick ให้ความสำคัญการควบคุม การที่การประสานงาน จะต้องสร้างขอบข่ายการควบคุมให้มีประสิทธิภาพ
เฮร์ซเบอริกได้สรุปว่าแรงจูงใจของมนุษย์ประกอบด้วย2ปัจจัยคือ
1.ปัจจัยภายนอก
2.ปัจจัยภายใน
เทย์เลอร์ได้พัฒนาวิธีการจ่ายค่าจ้างต่อหน่วยแบบสองระดับ
        Ganttป็นผู้มีชื่อเสียงในด้านการนำกราฟมาเป็นสื่อในการอธิบายการวางแผนการจัดการ
Frank B. & Lillian M. Gilbreths เน้นการกำจัดความสิ้นเปลือง และความไม่มีประสิทธิภาพ

          บทที่ 1 มโนทัศน์เกี่ยวกับการบริหารการศึกษา
·       การบริหารการศึกษา  หมายถึง  กิจกรรมต่างๆ  ที่ร่วมกันดำเนินการ   เพื่อพัฒนาในทุกด้านถือเป็นวิชาชีพชั้นสูง 
·       การบริหาร  เริ่มใช้เมื่ออาณาจักรโรมันล่มสลายโดยกลุ่มนักรัฐศาสตร์Cameralists ให้คำจำกัดความ  การบริหาร  หมายถึง  การจัดการหรือควบคุมกิจการต่างๆ  ของรัฐ
·       อเมริกันที่เรียกว่า  Federalist  ให้ความหมาย  การบริหาร คือ  การบริหารของรัฐหรือการบริหารตามแนวรัฐศาสตร์
·       ปรัชญาของการบริหารการศึกษามีอยู่  13 

          บทที่  2 วิวัฒนาการของการบริหารยุคต่างๆและการประยุกต์ใช้ในการบริหารการศึกษา
          วิวัฒนาการเน้นพฤติกรรมองค์การและเรื่องของมนุษยสัมพันธ์  ส่วนวิวัฒนาการด้านธุรกิจในระบบมีการใช้วิธีฝึกจากการทำงานการจัดการ นอกจากการใช้  ระเบียบวินัยในการทำงานยุคของยุคของนักทฤษฎีการบริหาร จะแบ่งได้ดังนี้
·       ยุคที่ 1  นักทฤษฎีการบริหารสมัยเดิม การประยุกต์ใช้หลักการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ในการบริหารการศึกษา
·        ยุคที่ 2  ยุค  Human  Relation  Era  ทฤษฎีมนุษย์สัมพันธ์ การประยุกต์ใช้หลักมนุษย์สัมพันธ์ในการบริหารการศึกษา
·       ยุคที่ 3  ยุคการใช้ทฤษฎีทางการบริการ การประยุกต์ใช้พฤติกรรมศาสตร์ในการบริหารการศึกษา
     
          บทที่   งานบริหารการศึกษา
·       การผลิต  หมายถึง  กิจกรรมพิเศษหรืองานที่ทางองค์การได้จัดตั้งขึ้นในทางการศึกษา
·       การประกันถึงการใช้ผลผลิตจากประชาชน  หมายถึง  กิจกรรมและผลผลิตของการดำเนินงาน
·       การเงินและการบัญชี  หมายถึง  การรับและการจ่ายเงินในการลงทุนในกิจกรรมขององค์การ
·       บุคลากร  คือ  การกำหนดรอบและการดำเนินการของนโยบาย
·       การประสานงาน  คือ  เป็นกิจกรรมที่สำคัญของการบริหารการศึกษา

บทที่  4 กระบวนการทางการบริหารการศึกษา
          การบริหารการศึกษาเป็นหน้าที่หนึ่งของรัฐบาลในการบริหารประเทศ  เป็นการบริหารธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน  ที่เรียกว่าการบริหารการศึกษาสิ่งที่ทำให้การบริหารการศึกษา  หลักการจัดการศึกษาในโรงเรียนมี ดังนี้
1.การจัดระบบสังคม
2.เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการศึกษา
          หลักการจัดระบบการศึกษา  ไม่ว่าระดับชาติ  ระดับท้องถิ่น  ระดับโรงเรียน คือจะต้องรู้จักเด็กทุกคน  โดยยึดหลักความเสมอภาคและเหมาะสมกับปรัชญามีการส่งเสริมกิจกรรมให้สอดคล้องกับการปกครองในการบริหารงานในชั้นเรียนอย่างเท่าเทียมกัน โดยใช้กระบวนการบริหารการศึกษา  เป็นความคิดรวบยอดทั้งยังจัดระบบการศึกษา ให้เป็นไปตามกระบวนการศึกษาของโรงเรียน

บทที่  5 องค์การและการจัดองค์การ
          องค์การ คือ การรวมตัวของคน 2 คนขึ้นไป มีจุดมุ่งหมายร่วมกันหรือหมายถึง
ส่วนประกอบที่เกิดจากระบบย่อยหลายระบบที่มีปฏิสัมพันธ์ กันภายใต้สิ่งแวดล้อมหรือระบบใหญ่
องค์การแบ่งออกเป็น  3  ลักษณะใหญ่ๆคือ
1. องค์การทางสังคม
2. องค์การทางราชการ
3. องค์การเอกชน
แนวคิดในการจัดองค์การ
1.  แนวคิดในการจัดองค์การมาจากพื้นฐานการดำเนินงานขององค์การที่ภารกิจมาก
2.  แนวคิดในการจัดองค์การยังต้องคำนึงถึง  ผู้ปฏิบัติงาน
3.  แนวในการจัดการองค์การ  จะต้องกล่าวผู้บริหารควบคู่กันไป

องค์ประกอบในการจัดองค์การ
 1.  หน้าที่การงานเป็นภารกิจ
2.  การแบ่งงานกันทำ
3.  การรวมและการกระจายอำนาจในการจัดการองค์การ

บทที่ 6 การติดต่อสื่อสาร
          การติดต่อสื่อสาร (Communication)  หมายถึง  การส่งข้อมูลข่าวสารจากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่ง หรือหลายคน เพื่อให้เข้าใจความหมายของข้อมูลข่าวสารที่ผู้ส่งส่งไป และเกิดความเข้าใจอันดีระหว่างกัน
ช่องทางการติดต่อสื่อสารมี 2 ช่อทาง คือ การติดต่อสื่อสารทางเดียว และการติดต่อสื่อสารสองทาง 
          องค์ประกอบของการติดต่อสื่อสาร ได้แก่ ผู้ส่ง ผู้เริ่มต้นของการเผยแพร่ข่าวสาร การใส่รหัส ขบวนการแปลความหมาย ข่าวสาร ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการใส่รหัสข่าวสารที่ส่งไปให้ผู้รับต้องอาศัย สื่อ ผู้รับ บุคคลที่ต้องการให้ข่าวสารเปลี่ยนมือ

บทที่ 7 ภาวะผู้นำ     
        ผู้นำ  หมายถึง ความสามารถในการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงได้ โดยมีผู้นำเป็นผู้สร้างวิสัยทัศน์ให้เป็น ตัวกำกับ ทิศทาง ขององค์การในอนาคต    
        ภาวะผู้นำ หมายถึงการเป็นผู้นำที่ใช้อิทธิพลในการดำเนินงาน ในความสัมพันธ์ต่อผู้ใต้บังคับบัญชาในสถานการณ์ต่างๆเพื่อปฏิบัติการและอำนวยการ โดยใช้กระบวนการติดต่อชึ่งกันและกัน
          ลักษณะภาวะผู้นำ ได้แก่
1. ผู้นำเป็นกระบวนการ
2. มีระดับความถูกต้องของการใช้อิทธิพล
 3.มีความสำเร็จของจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้

บทที่ 8 การประสานงาน
        การประสานงาน คือการจัดระเบียบวิธีการทำงาน เพื่อให้งานและเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆร่วมมือปฎิบัติงาน เพื่อให้งานดำเนินสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และนโยบายมุ่งหมายในการประสานงานช่วยให้คุณภาพและผลงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ เพื่อจัดความซ้ำซ้อนกันของการทำงานระหว่างเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงาน
แนวทางการทำงานให้เกิด "การผสมงานผสานใจ"
1. มีการประสานความคิดโดยที่ทุกฝ่ายต้องมีความเข้าใจนโยบายและวัตถุประสงค์อย่างชัดเจน
2. มีการประสานแผนงาน ทุกฝ่ายต้องมีความเข้าใจในกรอบนโยบายของแต่ละหน่วยงาน
3. มีการประสานด้านการเงิน วัสดุอุปกรณ์
4. มีการประสานคน ผู้ที่จะทำงานร่วมกันต้องรู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเอง ต้องรู้จักใช้เทคนิคการจูงใจให้เกิดการยอมรับในการทำงานร่วมกัน
5. ระบบการติดต่อสื่อสารต้องมีประสิทธิภาพ
6. มีการจัดองค์การให้มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับองค์การของหน่วยงานอื่น

บทที่ 9 การตัดสินใจสั่งการหรือการวินิจฉัยสั่งการ
          การ ตัดสินใจคือ การชั่งใจไตร่ตรองหาเหตุผลเพื่อให้การดำเนินงานไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ ส่วนการวินิจฉัยสั่งการคือ การสั่งงานหรือการพิจารณาตกลงชี้ขาดจากทางเลือก หลักการในการตัดสินใจหรือวินิจฉัยสั่งการ บางครั้งตัดสินใจถูกแต่การสั่งงานผิดพลาดอาจทำให้เกิดผลเสียหายแก่งาน  ลักษณะการวินิจฉัยสั่งการของผู้บริหารที่ดี มีหลักเกณฑ์ดังนี้ ระยะเวลาที่เหมาะสม ความแน่นอน ความรู้ความสามารถของผู้บริหาร ประสบการณ์ในการทำงาน ทัศนคติ บุคลิกภาพที่มีอิทธิพล ความลำเอียงส่วนบุคคล ความโดดเดี่ยว ประสบการณ์ การรู้โดยความรู้สึก และการแสวงหาคำแนะนำ

บทที่ 10 ภารกิจของผู้บิหารโรงเรียน
          ผู้บริหารโรงเรียน ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ได้รับการแต่งตั้งหรือมอบหมายงานให้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการศึกษาหรืออำนวยการต่างๆ  จะมีหลายด้าน ดังนี้
  1.การบริหารงานวิชาการ เป็นหัวใจของการบริหารในโรงเรียน ลักษณะสำคัญของงานวิชาการจะเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน และผู้บริหารจะต้องรับรู้ รับผิดชอบ ควบคุมดูแลในการดำเนินการวางแผน 
 2.การบริหารบุคคล คือการจัดงานเกี่ยวกับคนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่งเสริมให้กำลังใจผู้ปฎิบัติให้ทำงานอย่างมีปะสิทธิภาพ